Home Pop Culture ที่มาของคำว่า ‘กะเทย’ ตามตำราโบราณหมายถึงใคร
CultureEditor's PickEducationThailand

ที่มาของคำว่า ‘กะเทย’ ตามตำราโบราณหมายถึงใคร

เคยสงสัยไหมคะ คำว่า ‘กะเทย’ มีที่มาจากอะไร แล้วทำไมต้องเรียกกะเทย หากว่ากันตามตำราโบราณที่เขาเริ่มใช้กันมา เขาหมายถึงคนกลุ่มใด วันนี้จ๊อกจ๊อกจะความรู้เล็กๆน้อยๆมาแบ่งปันค่ะ

ก่อนจะมี เกย์ เก้ง ตุ๊ด ฯลฯ คำว่า “กะเทย” คือคำแรก ๆ ที่นิยามถึงบุคคลเพศที่สามอันนอกเหนือจากชายและหญิง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “กะเทย” คือ “(1) น. คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง, คนที่มีจิตใจและกิริยาอาการตรงข้ามกับเพศของตน (อะหม ว่า เทย)”

การปรากฏคำว่า กะเทย ในเอกสารประวัติศาสตร์ยุคแรก ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ในสังคมล้านนาสมัยโบราณ จากเอกสาร “ตํานานไทยวน” กล่าวถึงการสร้างมนุษย์แบบระบบ 3 เพศ อันได้แก่ เพศชาย เพศหญิง และไม่มีเพศ

การจัดประเภทเช่นนี้ก็เพื่อแยกสภาวะความเป็นชายออกจากเพศสภาวะอื่น ๆ ที่อาจแฝงปรากฏบนเพศสรีระของชาย เนื่องจากตํานานการสร้างโลกของไทยวนได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ

โดยตํานานการสร้างโลกของไทยวนเรียกว่า “ปฐมมูลมูลี” พบคําว่า “นบุํสกลิงคฯ์” แปลเป็นภาษาบาลีว่า “นปุงสกลิงค์” หมายถึง บุคคลไม่มีเพศ ทั้งนี้ไม่อาจยืนยันได้ว่ามีความหมายตรงกับเพศวิถีใดตามแนวคิดของสังคมในปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีระบบเรื่องเพศมากกว่าชายและหญิงมาตั้งแต่อดีต

ในสังคมลาวสมัยโบราณ จากเอกสาร “คัมภีร์สุวรรณมุข” ก็มีการกล่าวถึง กะเทย ว่าด้วยข้อห้ามและผลของการที่ชายหญิงลอบเป็นชู้กัน เมื่อตายไปแล้วเกิดชาติใหม่เป็นหญิงเลว 500 ชาติ และเกิดเป็น “มอง” 500 ชาติ คำว่า “มอง” หมายความว่าคนหรือสัตว์ที่ไม่ปรากฏเพศชัดว่าเป็นชายหรือหญิง หรือก็คือ กะเทย

ซึ่งคำว่า มอง ไปพ้องความหมายของคำว่า “กะเทิย (น. คำนาม)” ในภาษาล้านนา ตามที่ปรากฏในพจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง ความว่า “คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง คนที่มีจิตใจและกริยาอาการตรงข้ามกับเพศของตน (สมัยก่อนใช้ แซ, ทุย, เทิน, มอง, มองทุย, หน้อง)”

ในสังคมไทยสมัยโบราณ จากเอกสาร “กฎหมายตราสามดวง” ในส่วนของพระไอยการลักษณภญาน ก็กล่าวถึง กะเทย (กับบัณเฑาะก์) ว่าเป็นหนึ่งในคน 33 จำพวกที่ไม่สามารถเป็นพยานได้ เว้นแต่โจทก์หรือจำเลยยินยอม ความว่า “คน 33 จำพวกนี้ อย่าให้ฟังเอาเปนพญาณ ถ้า โจท/จำเลย ยอมให้สืบ ฟังเอาเปนพญาณได้”

ด้วยเหตุที่ “กฎหมายตราสามดวง” แยก กะเทย ออกจาก บัณเฑาะก์ เป็นคนละพวกกัน ย่อมหมายความว่าในสมัยนั้นให้นิยามต่างกัน บัณเฑาะก์ อาจหมายถึงคนที่ไม่ปรากฏเพศชายหรือหญิง หรือคนที่มีอวัยวะเพศกำกวม ไม่สามารถที่จะบอกเพศได้อย่างแน่ชัด ซึ่งโดยรวมแล้วน่าจะหมายความว่าเป็น “กะเทยทางกายภาพ”

ส่วนคำว่า กะเทย นั้น อาจหมายความว่าเป็น “กะเทยทางสังคม” คือบุคคลที่มีลักษณะกิริยาท่าทางตรงข้ามกับเพศของตน แตกต่างไปจากชายและหญิง จนสามารถแยกออกมาเป็นบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งได้ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกล่าวได้ว่า กะเทย ใน “กฎหมายตราสามดวง” มีพฤติกรรมรักร่วมเพศระหว่างชาย-ชาย

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นปรากฏพฤติกรรมรักร่วมเพศ เช่น กรณีลูกสวาท คือพระสงฆ์อุปการะเลี้ยงเด็กชาย “กอดจูบหลับนอนเคล้าคลึงไปไหนเอาไปด้วย” หรือกรณีพระสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 2 “พอใจลูบคลำเล่นของที่ลับพวกลูกศิษย์ที่รุ่นหนุ่มสวย ๆ” จนถูกสึก

จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศจะไม่กล่าวถึง “กะเทย” หรือ “ความเป็นกะเทย” แต่อย่างใด โดยคำว่า “เล่นสวาท” (ชาย-ชาย) หรือ “เล่นเพื่อน” (หญิง-หญิง) จะเป็นคำที่ถูกนำมาใช้อธิบายและเชื่อมโยงกับพฤติกรรมรักร่วมเพศ

ในขณะที่คำว่า กะเทย เป็นคำนามที่บ่งบอกถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่ชายและหญิง ไม่ได้เหมารวมว่าคนที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ = กะเทย ในส่วนของคำว่า “กะเทย” นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ได้กล่าวไว้ว่าคนไทอะหมก็มีคำว่า “เทย” ใช้ในความหมายเดียวกัน

กะเทย ในภาษาเขมรก็มีคำว่า “เขทิย” มีความหมายเช่นเดียวกัน ขณะที่พจนานุกรมเขมร-ไทย ฉบับของพระยาอนุมานราชธน กล่าวถึง กะเทย ว่า “เขฺทีย (เขฺตย) 1. กระเทย [สะกดตามต้นฉบับ] 2. นอกคอก นอกรีต”

กาญจนา นาคสกุล ตั้งข้อสังเกตว่ามีคำในภาษาไทยและภาษาเขมรหลายคำที่พ้องกันโดยไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป็นคำไทยเดิมหรือคำเขมรเดิม ดังนั้น คำว่า เขทิย ก็อาจเป็นหนึ่งในคำพ้องเหล่านั้น

อาจเป็นไปได้ว่าคำว่า กะเทย, เทย และเขทิย เป็นคำที่ใช้เรียกลักษณะของสิ่งที่ไม่ปรากฏเพศ หรือมีลักษณะกลาง ๆ ไม่เป็นเพศใดเพศหนึ่งที่ใช้กันอยู่เดิมในภูมิภาคนี้ก็เป็นได้

โดยสรุปแล้วคำว่า กะเทย ในยุคแรกหมายถึงลักษณะที่กำกวมของอวัยะเพศ (อาจมีสองเพศในคนเดียว) และหมายถึงคนอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะทางจิตใจและกิริยาที่ไม่เป็นชายไม่เป็นหญิง นอกจากนี้ คนที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็ไม่ได้ถือว่าเป็น กะเทย แต่อย่างใด

จากเอกสารเหล่านี้ ทำให้เห็นว่า กะเทย ในยุคแรกถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่พึงประสงค์ หากทำกรรมชั่ว ผิดประเวณี ลอบเป็นชู้ ชาติหน้าก็จะเกิดเป็นกะเทย ถูกกีดกัดจากระบบยุติธรรม ถูกจัดเป็นหนึ่งในคน 33 จำพวกที่ไม่สามารถเป็นพยานในคดีความได้ ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลแนวคิดจากศาสนา

แม้มีเอกสารหลายชิ้นที่ระบุถึง กะเทย อยู่บ้าง แต่แทบไม่พบส่วนที่กล่าวถึงชีวิตของคนกลุ่มนี้เลย ลำพังเรื่องราวของชาวบ้านก็แทบจะไม่ถูกบันทึกลงบนเอกสารประวัติศาสตร์ ยิ่งเป็น กะเทย ซึ่งเป็นกลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งในสังคมด้วยแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกบันทึกไว้เป็นเรื่องเป็นราว

อย่างไรก็ตาม มีเอกสารชิ้นหนึ่งคือ “บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ” โดยโจวต้ากวาน ราชทูตจีนสมัยราชวงศ์หยวนที่ได้เดินทางไปยังเขมรในสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 ราว 700 ปีก่อน ได้บันทึกถึง กะเทย ไว้ว่า

“ในประเทศนี้มีพวกกะเทยอยู่มากมาย ทุกวันจะไปเดินตามตลาดเป็นหมู่ ๆ ละ 10 คน มักจะชอบชักชวนชาวจีนและกลับได้ของให้อย่างงาม ช่างน่าเกลียดและน่าบัดสีเสียนี่กระไร” อภิญญา ตะวันออก อธิบายความตอนนี้เพิ่มเติมว่า “กะเทยสมัยนครธม ดูจะมีเสรีภาพอย่างเพียงพอในการแสดงออกต่อสาธารณชน

โดยเพียงบรรทัดเดียวก็ทำให้เข้าใจว่า ณ ตลาดชุมชนของเมืองพระนคร ได้มีพ่อค้าจีนถูกชาวเพศที่ 3 แห่งเมืองพระนครคุกคามด้วยพฤติกรรมอันน่ารังเกียจจากเอาตัวเข้าพัวพันเพื่อหวังทรัพย์สินมีค่าบางอย่าง…ชาวกะเทยเมืองพระนคร มิได้ถูกจำกัดสิทธิเยี่ยงทาสไพร่แต่อย่างใด”

นอกจากนี้ อภิญญา ตะวันออก ยังตั้งข้อสังเกตว่าชาวเขมรเมืองพระนครที่ประกอบอาชีพค้าขายส่วนใหญ่เป็นหญิง บางครั้งจึงต้องอาศัยกะเทยเป็นตัวแทนเพื่อทำการติดต่อเจรจากับพ่อค้าบางกลุ่ม โดยเฉพาะกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ

นี่ดูจะเป็นบันทึกที่กล่าวถึง “กะเทย” ได้อย่างเห็นภาพชัดเจนและมีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยบันทึกของโจวต้ากวานก็ทำให้เห็นว่าในอดีตกะเทยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมีสัมพันธ์แน่นแฟ้น เหมือนคำกล่าวในปัจจุบันที่ว่า “กะเทยตาย กะเทยเผา”

ที่มา Silpawattanatham – ศิลปวัฒนธรรม

Related Articles

Baby Fat Boom เทรนด์หน้าเด็กด้วยไขมันจากธรรมชาติ

ถ้าพูดถึงความงามและความเยาว์วัย คงมีคำมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว ตั้งแต่ผิวเด้ง หน้าใส ไร้ริ้วรอย ไปจนถึงผิวฉ่ำวาว แต่ตอนนี้มีคำใหม่ที่กำลังมาแรงในวงการความงาม นั่นคือ “ไขมัน” ค่ะ เทรนด์ล่าสุดที่เรียกว่า “ฟิลเลอร์จากธรรมชาติ”...

4 เซรั่มวิตามินซีเกาหลีสุดปัง ทางลัดสู่ผิวกระจกใสวิ้งค์

ถ้าพูดถึงผิวสวยแบบ “กลาสสกิน” ที่ดูใส เรียบเนียนเหมือนกระจก คงไม่มีใครไม่นึกถึงสกินแคร์จากเกาหลี และหนึ่งในตัวช่วยเด็ดที่ทำให้ผิวเปล่งประกายได้ง่าย ๆ ก็คือ เซรั่มวิตามินซี สกินแคร์เกาหลีขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนโยนแต่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และวันนี้จ๊อกจ๊อกจะพาพวกหล่อนไปรู้จักกับเซรั่มวิตามินซีจากแดนกิมจิที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ ทำไมต้องเซรั่มวิตามินซีเกาหลี?...

“มิกซ์ เฉลิมศรี” เผยวันแรกสะใจมาก! เคยงอนแฟนเพราะไม่ทำการบ้าน

Woody World เปิดตัวรายการใหม่แกะกล่อง “เกิดมาเว่า” รายการลูกอีสานน้องใหม่! เว่าแซ่บ เว่าม่วน ครั้งแรกบทบาทพิธีกรเดี่ยวเต็มตัวของ “หนุ่ม ม้าม่วง” มาเว่านำกันทั่วบ้านทั่วเมืองเด้อ! ประเดิมด้วย EP. แรก พบกับ “มิกซ์ เฉลิมศรี” นักร้องและอินฟลูฯ สุดแซ่บ! มาเปิดใจเรื่องความรักแบบหมดเปลือก หลังจากที่มีกระแสดราม่าสนั่นโซเชียล ลั่น! ไม่เคยเปย์ใคร ชอบผู้ชอบทำมาหากิน...

“ฮิวโก้” อยู่วงการมา 20 กว่าปี เกลียดคำพูดนี้ที่สุด!?

เปิดใจศิลปินและนักแสดงมาดเซอร์  ฮิวโก้ จักรพงษ์  ที่อยู่ในวงการมากว่า 20 ปี ในรายการ WOODY FM เผยมุมมองต่อวงการบันเทิง การเป็นศิลปินที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกหมดไฟ และเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นคนค่อนข้างปิดตัวเอง เล่าความจริงของเบื้องหลังความสำเร็จในวงการ คนเก่งไปไม่ถึงไหนเพราะไม่มีคอนเนคชั่น เผยคำพูดที่เกลียดที่สุด? พร้อมเล่าถึงภาพยนตร์ The Stone พระแท้...